ผักสวนครัวที่สามารถปลูกได้ง่ายและไม่ต้องกังวลเรื่องตลาดรองรับ เพราะมีความต้องการสูงตลอดปี ทำให้เป็นแหล่งรายหลักระดับแสนคือ ขมิ้นชัน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่โรงงานยาสมุนไพรและอุตสาหกรรมอาหารต้องการใช้อย่างต่อเนื่อง
ขมิ้นชันอยู่ในตระกูลเดียวกับข่า เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุนาน ลักษณะคล้ายหัวเหง้าใต้ดิน มีเปลือกสีเหลืองอ่อนและเนื้อในสีเหลืองเข้ม มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีใบสีเขียวอ่อนและดอกหลายสี เช่น ขาว เหลือง แดง และเขียว
การปลูกขมิ้นชันมีโอกาสสร้างหลักแสน หากเลือกพันธุ์ที่นิยม เช่น พันธุ์ตรัง 1 และพันธุ์ตรัง 84-2 ควรเริ่มปลูกต้นฤดูฝนปลายเดือนเมษายนถึงต้นพฤษภาคม เพื่อประหยัดค่าใช้น้ำ เนื่องจากดินไม่แข็งเหมาะสำหรับการงอก แต่ควรระวังน้ำท่วมขัง ด้วยการปลูกแบบยกร่อง และเลือกดินที่ระบายน้ำได้ดี
การปรับแก้ดินให้เหมาะกับการปลูกพืชผักด้วยปุ๋ยหมักอินทรีย์คุณภาพจะช่วยลดการใช้ปุ๋ยและค่าใช้จ่าย เมื่อขมิ้นเติบโตดี หลังจากปลูกไปประมาณ 8-9 เดือน จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในฤดูหนาวช่วงธันวาคมถึงมกราคม ซึ่งเป็นช่วงที่หัวขมิ้นแห้งและสีสวย ตรงกับความต้องการของตลาด
ปลูกขมิ้นชันโดยใช้หัวแม่ขมิ้นที่มีรูปร่างคล้ายรูปไข่ เลือกขนาดประมาณ 15 ถึง 50 กรัมต่อหัว หัวแม่ชนิดนี้สามารถให้ผลผลิตประมาณ 3,300 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อปลูกในระยะห่าง 75×30 เซนติเมตร หากใช้หัวแม่ขนาดเล็กลง ผลผลิตจะลดลงตามสัดส่วน
สำหรับแง่งขมิ้นชัน เลือกขนาด 15 ถึง 30 กรัมต่อชิ้น หรือแง่งที่มี 7 ถึง 10 ปล้องต่อชิ้น เมื่อนำมาปลูกจะให้ผลผลิตสดประมาณ 2,800 กิโลกรัมต่อไร่
ก่อนการปลูกเพื่อป้องกันเน่าและกำจัดเพลี้ยซึ่งอาจติดมากับพันธุ์ และมักจะระบดในปีที่ 2 และ 3 ให้นำท่อนพันธุ์ไปแช่ในน้ำยากันและยาเพลี้ยประมาณ 30 นาที แล้วผึ่งลมให้แห้ง
วิธีปลูกขมิ้นชันให้เป็นที่ต้องการตลาด ขุดหลุมลึกพอประมาณ รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยชีวภาพ ประมาณ 50 กิโลกรัม ต่อไร่ หรือตามสภาพดิน ก่อนวางท่อนพันธุ์ลงในแปลงให้รดน้ำจนดินชุ่ม จากนั้นวางท่อนพันธุ์ขมิ้นชันลง และกลบดินหนาประมาณ 5 ถึง 10 เซนติเมตร
การงอกใช้เวลาประมาณ 30 ถึง 70 วันหลังปลูก ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของท่อนพันธุ์ ในช่วงนี้ควรรดน้ำสม่ำเสมอวันละครั้งในช่วงเช้า เพื่อให้ดินชุ่มพอ เมื่อฝนทิ้งช่วงหรือขณะที่ขมิ้นยังเล็ก ให้รดน้ำเพื่อให้ดินชุ่มหรือใช้วัตถุคลุมดินเพื่อลดการระเหยของน้ำ เมื่อต้นขมิ้นเจริญเต็มที่และอยู่ในฤดูฝน ไม่จำเป็นต้องให้น้ำเพิ่มเติม
วิธีการปลูกผักกาดขาวให้ได้ผลผลิตดี เริ่มจากการเตรียมดินเพื่อให้ได้ผักกาดขาวที่มีคุณภาพ ควรใช้น้ำส้มควันไม้ผสมน้ำ (อัตราส่วน 1:100) ฉีดพ่นในดินที่ผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ผสมให้เข้ากันและตากดินไว้ 1 วัน หากใช้น้ำส้มควันไม้เกินอัตรา ให้ตากดินไว้นานขึ้นหนึ่งเท่าตัว ในแปลงเพาะกล้าหรือแปลงนา ควรไถดินและตากไว้ 5-7 วัน พร้อมฉีดพ่นด้วยน้ำส้มควันไม้เพื่อ หลังจากนั้นคลุกเคล้าด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักจนเนื้อดินร่วนซุย โดยเฉพาะผิวหน้าดิน เพื่อป้องกันเมล็ดผักที่มีขนาดเล็กไม่ให้ตกในดินลึกเกินไป
ดินที่เหมาะสมควรมีแร่ธาตุสูง ร่วนซุย ระบายน้ำดี หากระบายน้ำเร็วและแห้งเกิน ใช้วัสดุคลุมหน้าดินเพื่อกักเก็บความชื้น สำหรับดินเปรี้ยวหรือเค็ม ใช้ปูนขาวช่วยปรับสภาพ ส่วนดินทรายควรเพิ่มปุ๋ยคอกหมัก ไม่ควรใช้มูลสดเพราะอาจทำให้เกิดในต้นผักได้
วิธีการปลูกหลัก ๆ มีสองแบบคือ
- การปลูกแบบหว่านโดยตรง: เหมาะสำหรับพื้นที่กว้าง ใช้เมล็ดพันธุ์ราคาไม่แพง เทคนิคคือผสมเมล็ดกับทรายเพื่อกระจายตัวดี หว่านทับด้วยปุ๋ยหมักชีวภาพและคลุมฟาง คอยรดน้ำจนกระทั่งต้นงอก เมื่อมีใบจริง 1-2 ใบ ให้ถอนแยกห่างกัน 30-50 เซนติเมตร
- การปลูกแบบหยอดลงหลุม เหมาะสำหรับพื้นที่จำกัดหรือปลูกในกระถาง หยอดเมล็ด 3-5 เมล็ดต่อหลุม กลบดินบาง ๆ แล้วถอนแยกเมื่อมีใบจริง 2 ใบเหลือหลุมละ 1 ต้น ไม่ควรถอนหลัง 30 วัน เพื่อไม่ให้ระบบรากเสียหาย
ควรย้ายต้นกล้าปลูกในช่วงที่แดดไม่แรง หรือในสภาพอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ทั้งนี้ ควรจะย้ายกล้าปลูกเมื่อผักกาดขาวอายุครบ 30-35 วัน การย้ายต้นที่อายุน้อยกว่า 30 วันอาจทำให้การเจริญเติบโตช้าลงได้ เมื่อต้นเจริญเติบโตดีควรดูแลด้วยการใส่ปุ๋ยสูตรเสมอหรือสูตรที่ส่งเสริมการเติบโตของใบ เพื่อให้ผักกาดขาวมีหัวที่สวยงาม นอกจากนี้ ผักกาดขาวยังต้องการน้ำมาก ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ
การเก็บเกี่ยวขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูก โดยทั่วไปจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในเวลา 50-80 วัน หากยังไม่ต้องการเก็บเกี่ยวก็สามารถปล่อยให้ต้นออกดอกและให้เมล็ดสำหรับการขยายพันธุ์ต่อเนื่องไปได้อีกถึง 1 ปีจนกว่าจะหมดอายุขัย